pattern

วิธีปิด IPv6 สำหรับผู้ที่มีปัญหาต่อ VPN แล้วเว็บไม่โหลด

     32,481

pattern

how-to-disable-ipv6-for-vpn-website-access

ปัญหาที่หลายคนเจอเวลาใช้งาน VPN คือ ต่อ VPN เพื่อ ซ่อน IP Address เรียบร้อย แต่พอเปิดเว็บที่เคยโดนบล็อกกลับยังเข้าไม่ได้อยู่ดี แล้วมันเกิดจากอะไรนะ?

จริง ๆ แล้วมีอยู่ไม่กี่สาเหตุ อย่างแรกมักเกิดจากโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ที่ตั้งใจปกป้องเครื่องของเรามากเกินไป จนเข้าไปควบคุมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งหมด ทำให้บางครั้งเกิดการขัดแย้งกับหลักการทำงานของ VPN

แต่สาเหตุใหญ่ที่เป็นประเด็นทั่วโลกในตอนนี้คือการมาของ IPv6 หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานใหม่นี้แล้ว แต่ปัญหาคือ VPN บางระบบยังไม่รองรับ IPv6 เต็มรูปแบบ ส่งผลให้ถึงแม้จะต่อ VPN แล้ว แต่ข้อมูลบางส่วนยัง “แอบ” วิ่งผ่านเส้นทางเดิม ทำให้เว็บยังเห็น IP จริงของเราอยู่

วันนี้พี่วัวมี วิธีปิด IPv6 มาแนะนำ เพื่อให้มั่นใจว่าการเชื่อมต่อทั้งหมดจะวิ่งผ่าน VPN ได้อย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย และซ่อน IP Address ของคุณได้จริง พร้อมทะลุบล็อกทุกเว็บไซต์ ก่อนอื่นไปทำความรู้จักกับ IPv6 กันก่อนเลยครับ 

IPv6 คืออะไร

IPv6 (Internet Protocol Version 6) เป็นระบบที่ใช้สำหรับระบุตัวตนและที่อยู่ของอุปกรณ์ทุกชิ้นที่เชื่อมต่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต เหมือนเป็นเลขที่บ้านของเครื่องคอมพิวเตอร์และมือถือของคุณนั่นแหละครับ

เดิมทีเราใช้ IPv4 (Internet Protocol Version 4) มาตลอด ซึ่งมีที่อยู่ให้ใช้ประมาณ 4 พันล้านกว่าหมายเลข อาจจะฟังดูเยอะแต่ในโลกยุคนี้ที่คนหนึ่งคนมีมือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ททีวี ที่อยู่ IPv4 มันเริ่มจะหมดไป

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องสร้าง IPv6 ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบที่ใหญ่กว่าและซับซ้อนกว่ามาก มีที่อยู่ให้ใช้เยอะแบบชนิดที่ว่าต่อให้โลกมีกี่พันล้านอุปกรณ์ก็ยังเหลือเฟือ

พูดง่าย ๆ คือ IPv6 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเติบโตของโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต

what-is-ipv6

IPv6 กับ IPv4 ต่างกันอย่างไร

ถ้าให้พูดแบบเข้าใจง่ายที่สุด IPv4 และ IPv6 ก็คือ เลขที่บ้านของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของเรานั่นเอง แต่ก็มีความแตกต่างกันดังนี้

IPv4 (รุ่นเก่า)

ใช้มานานแล้ว ใช้ Address ขนาด 32 บิต ทำให้มี เลขที่บ้านจำกัด อยู่แค่ประมาณ 4.3 พันล้านหมายเลขเท่านั้น รูปแบบเป็นตัวเลขคั่นด้วยจุด เช่น 192.168.1.1 ซึ่งในโลกยุคนี้ที่อุปกรณ์ต่ออินเทอร์เน็ตมีมากมายมหาศาล ทำให้ เลขที่บ้าน IPv4 เริ่มไม่พอใช้

IPv6 (รุ่นใหม่)

ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยใช้ Address ขนาด 128 บิต ทำให้มี เลขที่บ้านเยอะมหาศาล ชนิดที่ว่าต่อให้อุปกรณ์ในโลกนี้มีกี่ล้านชิ้นก็ยังเหลือเฟือ รูปแบบจะซับซ้อนขึ้น มีทั้งตัวเลขและตัวอักษรคั่นด้วยโคลอน เช่น 2001:db8:a...

สรุปง่าย ๆ คือ IPv6 ถูกออกแบบมาให้ ใหญ่กว่า (128 บิต vs 32 บิต) และ รองรับโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ได้ดีกว่า IPv4 

ทำไมต้องปิด IPv6 

การปิด IPv6 ชั่วคราวเมื่อใช้งาน VPN เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและรวดเร็วสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาของการเชื่อมต่อ VPN แล้วเว็บไม่โหลด หรือไม่สามารถทะลุบล็อกได้ จึงเป็นสาเหตุให้ต้องปิด IPv6 เมื่อใช้งาน VPN

1. ป้องกันการรั่วไหลของ IP (IPv6 Leak)

แม้จะเชื่อมต่อ VPN แล้ว แต่ระบบปฏิบัติการบางครั้งอาจยังคงใช้ IPv6 ในการส่งข้อมูล ซึ่งจะทำให้ IP Address จริงของคุณปรากฏออกมาและเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งที่แท้จริง

2. ความเข้ากันได้ของเครือข่าย 

เซิร์ฟเวอร์ VPN ส่วนใหญ่ยังคงทำงานบนโครงสร้างพื้นฐาน IPv4 ที่เสถียรกว่า การปิด IPv6 จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสและส่งผ่านอุโมงค์ VPN เพียงช่องทางเดียว

3. แก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อขัดข้อง

สำหรับผู้ที่ค้นหา วิธี ปิด IPv6 เนื่องจากปัญหาการโหลดเว็บไซต์ไม่สำเร็จ การปิดจะช่วยลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อระบบพยายามเลือกใช้ทั้ง IPv4 และ IPv6 พร้อมกัน

วิธีปิด IPv6 ด้วยตัวเอง

วิธีปิด IPv6 นั้นง่ายมาก ๆ ครับ ทำตามขั้นตอนของพี่วัวได้เลย

1. ไปที่ Start แล้วค้นหา Control Panel

how-to-manually-disable-ipv6

2. เลือก Network and Internet จากนั้นเลือก Network and Sharing Center

how-to-manually-disable-ipv6

3. คลิก Change adapter settings (ด้านซ้ายมือ)

how-to-manually-disable-ipv6

4. คลิกขวา บนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ใช้อยู่ แล้วเลือก Properties

how-to-manually-disable-ipv6

5. เลื่อนลงหา Internet Protocol Version 6 (TCP/IPv6)

how-to-manually-disable-ipv6

6. เอาเครื่องหมายถูกออก เพื่อปิดการใช้งาน IPv6

7. กด OK และ รีสตาร์ทเครื่อง

วิธีตรวจสอบว่า IPv6 ถูกปิดแล้วหรือยัง

ตรวจสอบผ่าน Command Prompt (CMD)

  1. เปิด Command Prompt (CMD)

กด Windows + R → พิมพ์ cmd → กด Enter

  1. พิมพ์คำสั่งนี้แล้วกด Enter

ipconfig /all

  1. ดูที่ "IPv6 Address"

ถ้ายังเห็นที่อยู่ IPv6 เช่น 2001:... หรือ 2600:... แสดงว่า IPv6 ยังเปิดอยู่

ถ้ามีแค่ fe80::... (Link-local address) หรือไม่มี IPv6 เลย แสดงว่า IPv6 ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว

ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์

  1. เปิดเว็บเบราว์เซอร์ไปที่ test-ipv6.com
  2. รอให้ระบบตรวจสอบเครือข่าย
  3. ผลลัพธ์ที่แสดง
  • ถ้าเว็บบอกว่า "No IPv6 detected" แสดงว่า IPv6 ถูกปิดแล้ว
  • ถ้ายังเห็น IPv6 Address แสดงว่ายังเปิดอยู่

💡 แนะนำให้ เช็ก IP อีกครั้ง ผ่านเว็บไซต์ตรวจสอบ IP หลังจากปิด IPv6 เพื่อให้มั่นใจว่าการเชื่อมต่อของคุณใช้แค่ IPv4 และซ่อน IP ได้สมบูรณ์

hipe-ip-address-with-bullvpn

สำหรับผู้ใช้ BullVPN พี่วัวเข้าใจดีว่าความเสถียรและความปลอดภัยของการเชื่อมต่อเป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการตั้งค่า วิธีปิด IPv6 ด้วยตัวเองแล้ว เพราะ BullVPN ได้เพิ่มฟังก์ชันจัดการ IPv6 มาให้ในแอปสำหรับ Windows เพียงแค่

  1. เปิดแอป BullVPN
  2. ไปที่ Settings
  3. เปิดใช้งานฟังก์ชัน “Prevent IPv6 Address Detection” และกด "Save"

disable-ipv6-bullvpn

ระบบจะช่วย “ปิด IPv6” ให้อัตโนมัติ ช่วยให้การเชื่อมต่อ VPN เสถียร ปลอดภัย และลดโอกาสการรั่วไหลของ IP ได้แบบสบายใจ BullVPN ตั้งใจพัฒนาเพื่อให้ทุกคนใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างอิสระ ไร้ข้อจำกัดทั้งด้านการเข้าถึงและความปลอดภัย 💙