pattern

ทำไมโซเชียลมีเดียถึงถูกบล็อกในบางประเทศ และส่งผลอะไรบ้าง?

     206

pattern

why-some-countries-block-social-media

ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันหมด การอัปเดตเรื่องราวต่างๆ บนโซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่เคยสงสัยไหมว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่สามารถเข้าถึง Facebook, X (Twitter) หรือแม้แต่ TikTok ได้อีกต่อไปจะเป็นอย่างไร? เรื่องนี้อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวในประเทศไทย แต่สำหรับหลายประเทศทั่วโลก การปิดกั้นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่เรื่องสมมติ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และสร้างผลกระทบมหาศาลต่อทั้งชีวิตส่วนตัวและเศรษฐกิจ

ทำไมบางประเทศถึงเลือกแบนโซเชียล?

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมบางประเทศถึงตัดสินใจบล็อกหรือจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดีย เหตุผลหลักมักเกี่ยวข้องกับความพยายามในการควบคุมข้อมูลข่าวสาร และการดูแลความปลอดภัยของสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อ่อนไหว เช่น การเลือกตั้ง เหตุการณ์ความไม่สงบ หรือสถานการณ์วิกฤติ เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ข่าวปลอม หรือการรวมตัวที่อาจสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคง

แม้มาตรการนี้มักถูกอธิบายว่าเป็นการป้องกันเพื่อความปลอดภัย แต่ก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงในอีกด้านเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูล เสรีภาพในการสื่อสาร และผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน

เคสตัวอย่างจากประเทศทั่วโลกที่แบนโซเชียล🌎

การปิดกั้นโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด นี่คือตัวอย่างจากหลายประเทศที่เคยเจอกับสถานการณ์นี้

ประเทศเนปาล

เนปาลแบน TikTok ในปี 2023 โดยรัฐบาลอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นการแพร่กระจายของ "ความรุนแรงในสังคม" และ "ความขัดแย้ง" แต่มาตรการนี้กลับจุดกระแสการประท้วงครั้งใหญ่จากประชาชนที่มองว่าเป็นการลิดรอน สิทธิดิจิทัล และ เสรีภาพออนไลน์

ประเทศตุรกี

ตุรกีบล็อกแพลตฟอร์มสำคัญอย่าง YouTube, X, Instagram และ WhatsApp ระหว่างการประท้วงในปี 2013 และ 2014 เพื่อควบคุมการสื่อสารของผู้ประท้วง และยังเคยใช้มาตรการนี้หลายครั้งเพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ

ประเทศอิหร่าน

หลังจากการประท้วงครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนสังคมในปี 2022 รัฐบาลอิหร่านได้สั่ง ปิดกั้นแพลตฟอร์ม สำคัญอย่าง WhatsApp และ Google Play เพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือสื่อสารของประชาชน

ประเทศซาวท์ซูดาน

 ในปี 2023 ซาวท์ซูดาน ได้มีการประกาศแบน Facebook และ TikTok หลังจากคลิปความรุนแรงและการยั่วยุถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นว่าในบางประเทศ รัฐบาลมองว่าโซเชียลมีเดียเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐ

ประเทศมอริเชียส

ก่อนการเลือกตั้งในปี 2024 มีข่าวลือว่ารัฐบาลมอริเชียสจะบล็อกโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายต้องยกเลิกมาตรการนี้ไป เพราะกระแสความวุ่นวายและความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในสังคม

ประเทศกัมพูชา

แม้จะยังไม่มีการบล็อกโซเชียลอย่างเป็นทางการ แต่กฎหมายใหม่กัมพูชา ที่จำกัด สิทธิดิจิทัล กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากนานาชาติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในอนาคต

ประเทศจีน

เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของระบบ Great Firewall ในประเทศจีนที่ทำการ เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต อย่างเข้มงวด ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึง เว็บไซต์ที่ถูกบล็อกในประเทศจีนได้ เช่น Facebook, X, YouTube หรือแม้แต่ Google ก็โดนบล็อกทั้งหมด 

ประเทศรัสเซีย

หลังจากการทำสงครามกับยูเครน รัฐบาลรัสเซียได้ทำการ ปิดกั้นเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มต่างชาติหลายแห่ง เพื่อควบคุมการไหลของข้อมูลข่าวสารและจำกัดการเข้าถึงสื่อของฝ่ายตรงข้าม

global-examples-of-social-media-bans

ผลกระทบจากการบล็อกโซเชียล

การถูกปิดกั้นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อาจดูเหมือนเป็นเพียงความไม่สะดวกเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วผลกระทบหนักและกว้างกว่านั้นมาก เพราะไม่ใช่แค่การสื่อสารที่ถูกตัดขาด แต่ยังเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ การเรียนรู้ และสิทธิเสรีภาพของผู้คนโดยตรง

สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ

ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียคือช่องทางทำมาหากินของหลายกลุ่ม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นครีเอเตอร์ที่สร้างรายได้จากคอนเทนต์ หรือธุรกิจเล็ก ๆ ที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการโปรโมตสินค้าและหาลูกค้า การถูกบล็อกแบบกะทันหันจึงไม่ต่างจากการ “ปิดประตูรายได้” ธุรกิจต้องหยุดชะงัก การตลาดต้องปรับแผนใหม่ทันที และเงินที่ควรจะเข้าก็หายไปในพริบตา ที่สำคัญยังทำให้นักลงทุนมองว่าประเทศนั้นมีความเสี่ยงด้านนโยบายดิจิทัลสูง จนอาจไม่อยากเข้ามาลงทุน

จำกัดการเข้าถึงข้อมูลและการเรียนรู้

โซเชียลมีเดียไม่ได้มีแค่ความบันเทิง แต่เป็นแหล่งข้อมูล ข่าวสาร และความรู้จากทั่วโลก คนจำนวนมากพึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้ในการอัปเดตสถานการณ์ เรียนคอร์สออนไลน์ หรือเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การถูกบล็อกจึงเท่ากับการปิดกั้นการเรียนรู้และโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งสุดท้ายจะกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของทั้งประเทศ และทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวที่ผ่านการคัดกรองจากรัฐ

กระทบต่อสิทธิดิจิทัลและเสรีภาพออนไลน์

อีกหนึ่งผลกระทบสำคัญคือการจำกัด สิทธิดิจิทัล และ เสรีภาพออนไลน์ ของผู้ใช้งาน การบล็อกโซเชียลมีเดียทำให้คนไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่หลักในการสื่อสาร แสดงความคิดเห็น หรือเชื่อมต่อกับชุมชนต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล การจำกัดการเข้าถึงในลักษณะนี้ จึงอาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นโอกาสในการมีส่วนร่วมและการแสดงออกบนโลกออนไลน์

the-consequences-of-social-media-blockages

อนาคตเสรีภาพออนไลน์เทรนด์ที่เราต้องจับตา

ทุกวันนี้หลายประเทศเริ่มเข้มงวดกับการควบคุมและเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยอ้างเรื่องความมั่นคง ข่าวปลอม หรือการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล แต่กฎหมายบางข้อก็ถูกเขียนแบบกว้าง ๆ จนเปิดช่องให้รัฐใช้เป็นเหตุผลในการสั่งบล็อกเว็บไซต์หรือแอปฯ ได้ง่ายขึ้น แถมเทคโนโลยีการปิดกั้นก็พัฒนาไปไกลกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การบล็อก IP หรือ URL แต่ถึงขั้นใช้เทคนิคอย่าง Deep Packet Inspection (DPI) เพื่อตรวจสอบข้อมูลละเอียดขึ้น ทำให้หลบเลี่ยงยากกว่าเดิม

ในอีกด้านหนึ่ง คนทั่วไปกลับตื่นตัวเรื่อง สิทธิดิจิทัล มากขึ้น หลายคนเริ่มมองว่าการถูกปิดกั้นแพลตฟอร์มโซเชียลคือการลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐาน ทำให้เครื่องมืออย่าง VPN ไม่ได้เป็นของเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปใช้เพื่อรักษาเสรีภาพออนไลน์ของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายกระจายอำนาจ (Decentralized Network) หรือแอปที่เข้ารหัสซับซ้อนขึ้น ทำให้การควบคุมจากส่วนกลางเป็นเรื่องยากกว่าเดิม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้เท่าทัน และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ

วิธีเตรียมรับมือกับการถูกจำกัดทางโลกออนไลน์

เมื่อการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องปกติในหลายประเทศ การเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ VPN หรือ Virtual Private Network ถ้ายังไม่รู้ว่า VPN คืออะไร มันคือเครื่องมือที่จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลและเปลี่ยนที่อยู่ IP ของเรา ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้เสมือนว่าเราอยู่ในประเทศอื่นที่ไม่มีการบล็อกโซเชียล ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ตามปกติ และที่สำคัญคือเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วย

การบล็อกโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นถึงความพยายามในการรักษาความปลอดภัยและความเรียบร้อยของสังคม ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดคำถามเรื่อง สิทธิดิจิทัลของประชาชน ไปพร้อมกัน ตัวอย่างจากหลายประเทศจึงเป็นเหมือนบทเรียนที่ช่วยเตือนว่า เสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง และการมีเครื่องมือเพื่อเข้าถึงข้อมูลอย่างอิสระก็สำคัญไม่น้อย

unblock-website-with-bullvpn

สำหรับใครที่ต้องการใช้งาน VPN ที่เสถียร ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล พี่วัวขอแนะนำ BullVPN ที่มีเซิร์ฟเวอร์ให้บริการมากกว่า 300 แห่งทั่วโลกใน 49 ประเทศ ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและไม่สะดุด ไม่ว่าเราจะต้องการปลดล็อกเว็บไซต์ที่ถูกจำกัด หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน BullVPN ก็พร้อมเป็นผู้ช่วยที่จะมอบอิสระในการใช้งานอินเทรอ์เน็ตได้อย่างไร้ขีดจำกัด