
สำหรับใครที่เพิ่งถอยกล่อง Apple TV มาใหม่ หรือมีติดบ้านไว้อยู่แล้วแต่รู้สึกว่ายังใช้ไม่คุ้มราคา ต้องบอกเลยว่าคุณกำลังถือครอง "เครื่องเล่นมีเดีย" ที่ทรงพลังที่สุดในตลาดอยู่ เพราะเจ้ากล่องสีดำเล็กๆ นี้ไม่ได้มีดีแค่ความลื่นไหล แต่คือประตูสู่โลกภาพยนตร์ความละเอียดสูง ที่ Smart TV ทั่วไปให้ไม่ได้
หลายคนเจอปัญหาซื้อทีวีจอใหญ่มา เครื่องเสียงจัดเต็ม แต่พอเปิดแอปฯ ในทีวีดูแล้วภาพยังไม่ "สุด" วันนี้พี่วัวเลยคัด 7 หนัง บน Apple TV ที่ถูกสร้างมาเพื่อรีดประสิทธิภาพภาพระดับ 4K Dolby Vision และระบบเสียง Dolby Atmos ให้ออกมาทำงานได้เต็มสูบ รับรองว่าดูจบแล้วจะรู้เลยว่าทำไมเราถึงต้องมีกล่องนี้ ก่อนอื่นไปทำความรู้จักก่อนว่า Apple TV คืออะไร
Apple TV คืออะไร? กล่องความบันเทิงที่มากกว่าแค่ดูหนัง
ก่อนพี่วัวจะพาไปดูลิสต์หนัง มือใหม่อาจจะยังสับสนระหว่างแอปพลิเคชันกับตัวกล่อง อธิบายง่ายๆ คือ Apple TV เป็นกล่อง Set-top box จากค่าย Apple ที่จะเปลี่ยนทีวีธรรมดาของคุณให้กลายเป็น Smart TV สุดอัจฉริยะ หรือถ้าทีวีของคุณสมาร์ทอยู่แล้ว Apple TV จะช่วยยกระดับความลื่นไหลและคุณภาพของภาพให้ดียิ่งขึ้นไปอีก รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K HDR และระบบเสียง Dolby Atmos ที่สมจริง
Apple TV กับ Apple TV+ ต่างกันยังไง?
เชื่อว่าหลายคนยังสับสนกับชื่อที่คล้ายกันระหว่าง Apple TV กับ Apple TV+ จนแยกไม่ออก พี่วัวสรุปความต่างให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
- Apple TV (Hardware): คือ "ตัวเครื่อง" หรือกล่องสีดำที่เราต้องซื้อมาเสียบกับทีวี จ่ายเงินครั้งเดียวจบ ได้รีโมทและระบบปฏิบัติการที่ลื่นไหล เอาไว้โหลดแอปฯ ดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม
- Apple TV+ (Service): คือ "บริการสตรีมมิ่ง" แบบรายเดือน (เหมือน Netflix หรือ Disney+) ที่มีไว้ดูหนังและซีรีส์ Original ของ Apple เท่านั้น สามารถสมัครและดู Apple TV+ ผ่านแอปฯ บนมือถือ หรือสมาร์ททีวีเครื่องไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีกล่อง Apple TV
สรุปสั้นๆ ถ้าอยากได้เครื่องเล่นที่ลื่นไหล ภาพชัด เสียงดี ให้ซื้อ Apple TV (กล่อง) แต่ถ้าอยากดูซีรีส์อย่าง Ted Lasso หรือ F1 ให้สมัคร Apple TV+ (บริการ)
Apple TV ต่างจาก Smart TV ทั่วไปอย่างไร?
คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ "ในเมื่อ Smart TV ยุคนี้ก็มีแอป Netflix, YouTube หรือแม้แต่ Apple TV+ มาให้ในตัวอยู่แล้ว ทำไมเราถึงต้องเสียเงินหลายพันบาทเพื่อซื้อกล่อง Apple TV แยกมาติดเพิ่มอีก? เพราะ Apple TV มีอะไรที่พิเศษกว่า Smart TV ทั่วไป
ชิปประมวลผลที่ทรงพลัง
ด้วยชิป A-Series ตัวเดียวกับใน iPhone ทำให้การใช้งาน Apple TV ลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงหรือแอปเด้งให้กวนใจ
Ecosystem ที่ไร้รอยต่อ
สามารถใช้ iPhone พิมพ์ชื่อหนังแทนรีโมท หรือเชื่อมต่อ AirPods เพื่อดูหนังแบบส่วนตัวบน Apple TV ได้ทันที
ความเป็นส่วนตัว
Apple ให้ความสำคัญเรื่อง Privacy สูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับยุคปัจจุบันที่ผู้คนเริ่มมองหา VPN เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวขณะออนไลน์
ฟีเจอร์เด็ดใน Apple TV ที่คุณอาจไม่เคยรู้
นอกจากดูหนังได้ชัดแล้ว Apple TV ยังมีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ Pain Point ของคนดูทีวีโดยเฉพาะ
Color Balance (ปรับสีภาพให้ตรงเป๊ะด้วย iPhone)
หมดปัญหาทีวีสีเพี้ยน ผิวคนติดแดงหรือติดฟ้า ฟีเจอร์นี้ใช้เซนเซอร์ FaceID บน iPhone มาทาบหน้าจอทีวี เพื่อวัดค่าแสงและสี จากนั้นกล่อง Apple TV จะปรับจูนค่าสี Output ให้ออกมาสมจริงตามมาตรฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ให้อัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องปรับเมนูทีวีเองเลย
SharePlay (ดูหนังพร้อมเพื่อนแม้ตัวอยู่ไกล)
ฟีเจอร์ที่ให้ดูหนังหรือซีรีส์เรื่องเดียวกันพร้อมกับเพื่อนผ่าน FaceTime แบบเรียลไทม์ จุดเด่นคือระบบจะซิงค์จังหวะหนังให้ตรงกันเป๊ะ ถ้าใครคนหนึ่งกดหยุด หนังของทุกคนก็จะหยุดพร้อมกัน ทำให้คุยรีแอคชั่นกันได้สนุกเหมือนนั่งอยู่โซฟาเดียวกัน
Spatial Audio with Dynamic Head Tracking (ระบบเสียงตามทิศทาง)
เมื่อเชื่อมต่อกับ AirPods (รุ่นที่รองรับ) จะได้ยินเสียงรอบทิศทางเหมือนอยู่ในโรงหนัง และที่ล้ำกว่าคือระบบ "Head Tracking" ที่เสียงจะหมุนตามการหันศีรษะจริงๆ เช่น ถ้าเสียงระเบิดมาจากด้านขวา แม้จะหันหน้าหนี เสียงก็จะยังตรึงอยู่ที่ทิศเดิม เพิ่มความสมจริงขั้นสุด
Reduce Loud Sounds (โหมดถนอมหูยามดึก)
เคยไหมที่ดูหนังแอ็กชันแล้วเสียงพูดเบาแต่เสียงระเบิดดังลั่นบ้าน? ฟีเจอร์นี้จะช่วยเกลี่ยระดับเสียงให้สมดุลกัน ทำให้ได้ยินเสียงบทสนทนาชัดเจนโดยไม่ต้องเร่งเสียงสู้ และเสียงเอฟเฟกต์จะไม่ดังกระโชกโฮกฮากจนรบกวนคนอื่นในบ้าน
มัดรวม 7 หนัง ฟอร์มยักษ์ ที่แนะนำดูบน Apple TV
เปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้เป็นโรงหนังพรีเมียมด้วย 7 ภาพยนตร์ที่โดดเด่นทั้งงานสร้างและเทคนิคการถ่ายทำที่พี่วัวคัดมาให้แล้วว่าต้องลองดูบน Apple TV
1. F1

(แนว: แอ็กชัน / กีฬาความเร็ว)
หนังฟอร์มยักษ์ที่เป็น The Must สำหรับชาว Apple TV นำแสดงโดย Brad Pitt และกำกับโดย Joseph Kosinski (จาก Top Gun: Maverick) เรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX 6K ติดรถแข่งจริง เมื่อดูผ่านกล่อง Apple TV จะเห็นรายละเอียดเม็ดสีที่คมกริบ และระบบเสียงที่แยกทิศทางเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มรอบทิศทางเหมือนนั่งอยู่ข้างสนามซิลเวอร์สโตนจริงๆ ใครที่อยากเทสระบบ Apple TV เรื่องนี้พี่วัวว่าต้องไปดูแล้ว
2. Greyhound

(แนว: สงคราม / ระทึกขวัญ)
ถ้าอยากเทสต์ระบบเสียง Dolby Atmos ต้องเรื่องนี้ Tom Hanks รับบทกัปตันเรือรบที่ต้องฝ่าดงเรือดำน้ำนาซี ความเจ๋งคือการมิกซ์เสียงที่ละเอียดมาก จะได้ยินเสียงคลื่น เสียงโซนาร์ และเสียงระเบิดที่พุ่งผ่านหน้าผ่านหลังสมจริงสุดๆ เป็นหนังที่โชว์ศักยภาพชิปเสียงของ Apple TV ได้ดีเยี่ยม
3. Napoleon

(แนว: ประวัติศาสตร์ / สงคราม)
ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ Ridley Scott ที่งานภาพอลังการดาวล้านดวง ฉากสงครามที่มีตัวประกอบนับพันคน รายละเอียดเครื่องแต่งกาย และการเกรดสีภาพแบบ Cinematic ที่มีความลึกและมิติสูงมาก การดูผ่านแอปฯ ทีวีทั่วไปอาจเห็นรายละเอียดในฉากมืดๆ ไม่ชัดเท่าการดูผ่านกล่องที่มีกำลังประมวลผลสูง
4. Wolfs

(แนว: แอ็กชัน / คอมเมดี้)
การโคจรมาเจอกันของสองตัวพ่อ Brad Pitt และ George Clooney ในบท "มือเก็บกวาด" ที่ต้องมาทำงานทับไลน์กัน หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพสวย มีสไตล์ แสงสีในฉากกลางคืนที่เป็นนีออนตัดกับความมืด ทำออกมาได้ดีมาก เหมาะกับการเทสต์จอ OLED หรือ Mini-LED ผ่านสัญญาณภาพที่ส่งออกจาก Apple TV
5. Killers of the Flower Moon

(แนว: อาชญากรรม / ดราม่า)
กำกับโดย Martin Scorsese งานภาพสวยจนตะลึงทุกช็อต ถ่ายทอดบรรยากาศยุค 1920 ออกมาได้สมจริง เนื้อสีผิว รอยยับของเสื้อผ้า และฉากทิวทัศน์กว้างๆ ถูกถ่ายทอดออกมาด้วย Bitrate ที่สูงลิ่ว ทำให้ภาพดูมีมิติ ไม่แบนราบ
6. Finch

(แนว: ไซไฟ / ผจญภัย)
อีกหนึ่งเรื่องของ Tom Hanks กับหุ่นยนต์คู่ใจในโลกที่ล่มสลาย เรื่องนี้โดดเด่นเรื่องงาน CGI และแสงแดดที่แผดเผา ถ้าทีวีและกล่องรองรับ HDR หนังเรื่องนี้จะโชว์ความสว่างและสีสันที่จัดจ้านได้สะใจมากๆ
7. Tetris

(แนว: ระทึกขวัญ / ชีวประวัติ)
มาถึงเรื่องสุดท้าย อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นแค่หนังเกม เพราะนี่คือหนังสายลับยุคสงครามเย็นที่มีงานภาพโคตรเท่ มีการผสมผสานกราฟิก 8-bit เข้ากับภาพจริง และใช้โทนสีที่จัดจ้านแบบ Retro การดูผ่าน Apple TV จะช่วยให้การไล่เฉดสี เนียนตาและไม่เป็นปื้น
เต็มอิ่มกับงานภาพระดับ 4K กันไปแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ากล่อง Apple TV เครื่องนี้ยังทำอะไรได้มากกว่าแค่ดูหนังที่มีในไทย? เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดความบันเทิงให้ไร้พรมแดนและใช้งานกล่องได้คุ้มค่าตัวที่สุด พี่วัวจะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญอย่าง VPN กัน
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ VPN สำหรับ Apple TV (VPN for Apple TV)
ในวงการสตรีมมิ่ง คำว่า VPN Apple TV หรือ VPN for Apple TV เริ่มถูกค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เหตุผลหลักๆ ที่คนทั่วโลกสนใจเรื่องนี้คือ
- การเข้าถึง Content ที่หลากหลาย: เป็นที่รู้กันว่าสตรีมมิ่งบางเจ้า เช่น Netflix, Hulu หรือ Disney+ มีคอนเทนต์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ การใช้ VPN สำหรับ Apple TV จึงเป็นวิธีทางเทคนิคที่คนใช้เพื่อข้ามโซนไปดูซีรีส์ที่มีฉายเฉพาะในต่างประเทศ (Geo-blocking)
- ความเร็วและความลื่นไหลในการสตรีม: ในบางกรณี ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอาจลดความเร็วลงเมื่อตรวจพบการใช้งานข้อมูลหนักๆ การใช้ VPN for Apple TV จะช่วยอำพรางประเภทข้อมูลทำให้เราไม่ถูกบีบความเร็ว นอกจากนี้ความลื่นไหลที่แท้จริงยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของ VPN Server และ การเลือกเชื่อมต่อ Server ที่อยู่ใกล้ หรือมีเส้นทางเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ก็จะช่วยลดค่า Latency และทำให้ดูหนัง 4K ได้ลื่นไหลกว่าเดิม
- ความปลอดภัย: แม้ Apple TV จะปลอดภัยสูง แต่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตย่อมมีความเสี่ยง การใช้ VPN ช่วยเพิ่มเลเยอร์ความปลอดภัยให้กับเครือข่ายในบ้านได้อีกชั้นหนึ่ง
เอาเป็นว่าใครที่มี Apple TV อยู่ที่บ้าน ลองหยิบลิสต์ 7 หนังที่พี่วัวแนะนำไปเปิดเทสประสิทธิภาพเครื่องกันดู จะได้รู้ว่าภาพและเสียง 4K ที่เขาว่าดีมันเป็นยังไง ส่วนใครที่อยากท่องโลกอินเทอร์เน็ตแบบปลอดภัย หรืออยากเตรียมความพร้อมสำหรับการสตรีมมิ่งที่อิสระมากขึ้น ก็อย่าลืมนึกถึง VPN ดีๆ ไว้ใช้งานคู่กัน เพื่อการรับชมคอนเทนต์ได้อย่างอิสระ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Apple TV
ทีวีที่บ้านเป็น Smart TV มีแอปฯ Apple TV ให้กดอยู่แล้ว ยังจำเป็นต้องซื้อกล่องเพิ่มอีกไหม?
ถ้าซีเรียสเรื่อง "คุณภาพ" คำตอบคือ "จำเป็น" เพราะแอปฯ บนทีวีมักถูกจำกัดสเปกทำให้ประมวลผลภาพและเสียงได้ไม่เต็มที่เท่าตัวกล่องที่มีชิปเซ็ตแยกโดยเฉพาะ นอกจากนี้ตัวกล่องยังให้ความลื่นไหลที่มากกว่า ไม่มีโฆษณาคั่นเมนู และรองรับฟีเจอร์ Ecosystem อย่างการใช้ iPhone พิมพ์ หรือเชื่อมต่อ AirPods ได้ ซึ่ง Smart TV ทั่วไปทำไม่ได้
ซื้อกล่อง Apple TV มาแล้ว ดูหนังใน Apple TV+ ได้ฟรีเลยหรือเปล่า?
"ไม่ฟรี" ต้องแยกกันก่อนว่า "กล่อง" คือเครื่องเล่น (เหมือนซื้อเครื่องเล่น DVD) ส่วน "Apple TV+" คือบริการเช่าหนัง (เหมือนร้านเช่าหนัง) ดังนั้นเมื่อซื้อกล่องมาแล้ว ยังต้องสมัครสมาชิกรายเดือนของ Apple TV+ แยกต่างหาก
ต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วเท่าไหร่ ถึงจะดูหนัง 4K บน Apple TV ได้ลื่นไม่สะดุด?
สำหรับการดูหนัง 4K HDR บน Apple TV ให้ได้คุณภาพสูงสุด Apple แนะนำความเร็วอินเทอร์เน็ตขั้นต่ำที่ 25 Mbps แต่เพื่อความเสถียร โดยเฉพาะเมื่อมีคนอื่นในบ้านใช้งานเน็ตด้วย หรือมีการเปิดใช้งาน VPN ควบคู่กัน แนะนำว่าควรมีความเร็วเน็ตบ้าน 50 Mbps ขึ้นไป จะช่วยให้โหลดหนังไว ภาพคมกริบ และไม่มีอาการหมุนติ้วให้เสียอารมณ์
