ด้านมืดของ Social Network : ภัยร้ายที่คุณอาจคาดไม่ถึง
Updated : Aug 18, 2017
ในปี 2012 คงไม่มีใครในโลกเสรีที่ไม่รู้จักคำว่า “Facebook” หรือ “Twitter” กันแล้ว ในฐานะ 2 ผู้ให้บริการเครือข่ายทางสังคม หรือ Social Network รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีผู้ใช้อยู่มากมาย เริ่มตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ เกิดเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมใหม่ที่มีอิทธิพลต่อโลกปัจจุบันอย่างปฏิเสธไม่ได้
Social Network ทำให้คุณสามารถพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน อ่านเรื่องตลกที่เพื่อนคุณเจอหลังมื้อเที่ยง หรือคุณอยากสร้างความอิจฉาให้กับเพื่อนของคุณด้วยรูปถ่ายในวันหยุดพักร้อน คุณก็ทำได้ ซึ่งนั่นคือประโยชน์ที่คุณใช้ Social Network ในการแสดงออกถึงการกระทำ ความคิด และกิจกรรมต่างๆ แต่ทว่าโลกที่อำนวยความสะดวกทางสังคมให้คุณอยู่ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นจะมี แต่ด้านดีเสมอไป
การที่คุณได้แบ่งปันข้อมูลและแสดงความคิดแบบ Real-time ใน Social Network นั้น มีประสิทธิภาพยิ่งที่จะกลายเป็นเครื่องมือ “ประจาน” ตัวคุณ และ “ทำลาย” ชื่อเสียงของคุณได้ โดยไม่ใช่แค่ในระดับครอบครัว ในระดับโรงเรียน หรือในระดับที่ทำงาน แต่ Social Network สามารถทำลายคุณได้อย่างร้ายแรงในระดับโลก และอาจเป็นตราบาปติดตัวคุณไปตลอดชีวิต เพียงคุณตั้งสถานะของคุณไว้เพียงไม่กี่วินาที แถมโลกยังสามารถค้นหา และเรียกคืนสิ่งเหล่านั้นมาพูดกันซ้ำไปซ้ำมาได้อีกหลายสิบปี นอกจากนี้ยังเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีในการแสวงหาผลประโยชน์จากตัวคุณ หรือใช้คุณเป็นเครื่องมือเพื่อก่อภัยต่างๆ ซึ่งวันนี้ MonaVista.com ก็ยกตัวอย่างภัยต่างๆ จากการใช้ Social Network
การกระทำของคุณที่มองเห็นได้ “ทั้งโลก”
เมื่อคุณพูดหรือแชร์อะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง หากพูดกันตามปกติคำพูดก็ลอยหายไป และมีคนฟังเท่าจำนวนที่คุณเห็น แต่หากเป็นการพูดหรือการแชร์ใน Social Networkแล้วล่ะก็ การกระทำนั้นจะบินไปหาทุกคนที่เป็นเพื่อนกับคุณทุกคนในทันใด และไม่สนว่าคุณจะรู้จักเขาจริงๆ หรือไม่ และถ้าหากการกระทำของคุณถูกโต้ตอบโดยเพื่อนของคุณ เพื่อนของเพื่อนคุณก็จะเห็นการกระทำของคุณต่อกันไปเป็นทอดๆ แตกตัวออกทวีคูณยิ่งกว่าอะมีบ้าในสระน้ำซะอีก ถ้าคุณพูดหรือแชร์อะไรดีๆ ก็ดีไปครับ แต่ถ้าคุณกระทำอะไรที่ไม่เข้าหูกับสังคมแล้ว งานนี้ก็เตรียมปี๊บคลุมหัวไว้เลย หรืออาจจะร้ายแรงถึงขั้นฟ้องร้องเลยก็เป็นได้
ใน 1,000 คนของเพื่อนคุณนั้น คุณรู้จักจริงๆ กี่คน?
ในค่านิยมของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในวัยรุ่นนั้น ตัวเลขเพื่อนใน Social Network สามารถบ่งบอกได้ถึงสถานะความเป็นที่รู้จักของตนเอง และความมั่งคั่งทางสังคมได้ เช่นคุณมีเพื่อน 1,000 คน เปรียบเทียบกับคนที่คุณไม่ค่อยชอบหน้าซึ่งมีเพื่อนอยู่เพียง 100 คน ความแตกต่างก็เกิดขึ้นแล้ว และคุณก็จะเอาตัวเลขนี้มาสนับสนุนความคิดส่วนตัวของคุณว่า เขานิสัยไม่ดี เขาจึงมีเพื่อนน้อย
แต่ถ้ากลับมาตั้งคำถามใหม่ว่า เพื่อนของคุณ 1,000 คน คุณรู้จักกี่คน? คุณก็อาจจะแพ้คนที่คุณไม่ชอบซึ่งมีเพื่อนอยู่เพียง 100 คนไปเลยก็ได้ เพราะเขาอาจบอกได้ครบ 100 คนว่าเพื่อนของเขาเป็นใครมาจากไหน และเกี่ยวอะไรกัน แต่จากคุณที่ยังระบุได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งทีแรกอาจมองในแง่ดีว่าคนติดตามคุณเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้วยิ่งมีคนไม่รู้จักมาติดตามคุณมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะมีภัยจาก Social Network ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ต่างจากคนที่มีเพื่อนเพียง 100 คน ที่เขาสามารถจะสื่อสารข้อมูลอะไรออกไปก็ได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะเขารู้จักทุกคนนั่นเอง
และยิ่งมีงานวิจัยล่าสุดระบบออกมาชัดเจนว่า Facebook นั้นหั่นทฤษฎีความสัมพันธ์ 6 ขั้นลง เหลือเพียง 4.74 ขั้น ซึ่งมองเผินๆ แล้วอาจจะดี แต่ในความจริงแล้วการที่คุณนินทาแล้วฝั่งตรงข้ามสามารถรู้ข้อมูลของคุณได้ เพียง 4.74 ขั้นนั้น มันไม่สวยเลยครับ
ทฤษฎีความสัมพันธ์ 6 ขั้น (The Six Degree of Separation)
สุ่มตัวอย่างระหว่าง คุณ กับ คุณญาญ่า นางเอกช่อง 3 นะครับ (น่ารัก)
1. คุณ เป็นเพื่อนกับคุณ A ซึ่งทำงานเป็นช่างภาพอยู่ในนิตยสารรถแข่ง (ไม่เกี่ยวกับละครเลย)
2. กองบรรณาธิการของคุณ A เคยส่งคุณ A ไปอบรมถ่ายภาพ แล้วจับคู่ทำกิจกรรมกับคุณ B
3. คุณ B ทำงานอยู่ในโมเดลลิ่ง และเคยทานข้าวกับคุณ C เพื่อคุยธุรกิจ
4. คุณ Cทำงานอยู่ในโมเดลลิ่งอีกแห่งหนึ่ง และสนิทสนมกับคุณ D
5. คุณ D เป็นผู้จัดการส่วนตัวของ คุณณเดช
6. คุณณเดช ถ่ายละครกับคุณญาญ่า
คุณจะมองเห็นแต่ข้อเท็จจริง (ที่หาไม่ได้)
อีกหนึ่งสิ่งที่นับว่าเป็นภัยเงียบ นั่นก็คือภัยจากการแบ่งปันแบบลูกโซ่ ซึ่ง Social Network เปิดโอกาสให้คุณสามารถแชร์ข้อมูลได้ทุกเรื่องทุกอย่างออกไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ แต่เมื่อมีผู้ไม่หวังดีนำการแชร์ไปใช้ในทางที่ผิด ความผิดก็จะตกอยู่กับผู้ใช้ที่ไม่ไตร่ตรองและระมัดระวัง ที่แชร์ทุกอย่างโดยที่ไม่ตระหนักว่าข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูลเหล่านั้นจะมีผลอย่างไรตามมา และตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่กอบโกยผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งข่าวลวง ข่าวเท็จ ข่าวที่ทำให้เกิดความเกลียดชังหรือแตกแยก ภาพปลอม การเรี่ยไรเงิน การกล่าวอ้างการกุศล รายได้เสริมทางอินเตอร์เน็ต ยาลดความอ้วน หรืออื่นใดก็ตาม ซึ่งข่าวเหล่านี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ นอกจากตัวคุณเอง
รู้ตัวไหม? คุณกำลังถูกขาย
แน่นอนว่าคุณมีความสุขกับการได้ใช้ Social Network ฟรี แต่คุณเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าผู้ให้บริการเอารายได้มาจากไหนเพื่อเปิด เซิฟเวอร์ให้คุณได้แชร์รูปปาร์ตี้เมื่อวาน หากยังไม่ทราบผมจะเฉลยให้ครับ รายได้หลักของผู้ให้บริการพวกนี้คือการโฆษณานั่นเอง เพราะ Social Network ทุกแห่งเปิดโอกาสให้บริษัท ห้างร้าน หรือองค์กรใดๆ เข้ามาโฆษณาเชื้อเชิญคุณได้ และการโฆษณาที่มีคุณภาพคือการโฆษณาที่ตรงกับเป้าหมาย ซึ่งการจะรู้ว่าเป้าหมายต้องการอะไรนั้นผู้ให้บริการจะต้อง “เก็บข้อมูล” ของเป้าหมายนั่นเอง
ทุกอักขระที่คุณพิมพ์ลงไปใน Social Networkไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ หรือการค้นหา และทุกการคลิกของคุณ ไม่ว่าคุณจะไปกด Like หรือ Tweet หรือการกระทำอะไรก็ตาม ผู้ให้บริการจะจดจำข้อมูลของคุณไว้ และเลือกโฆษณาที่สอดคล้องกับการกระทำของคุณออกมา หากคุณกด Like เรื่องสัตว์เลี้ยง สารพัดอาหารสัตว์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีโฆษณาก็จะปรากฏให้คุณดู ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่อำนวยความสะดวกแก่ตัวคุณ แต่จริงๆ แล้วมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะข้อมูลของคุณในมือของผู้ให้บริการ สามารถนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนให้กับบริษัทวิจัยการตลาด บริษัทเก็บสถิติ หรือแม้แต่เจ้าของโฆษณาเอง เพราะข้อมูลของคุณ คือเงินของพวกเขา
ผู้ไม่หวังดีพร้อมโจมตีคุณทุกเมื่อ!
Social Network นั้นมีความเสี่ยงจากแฮกเกอร์ ไวรัส ขโมย และอาชญากรอื่นๆ เป็นจำนวนมากอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเกิดจากความพลั้งเผลอ หรือเกิดจากการที่คุณเปิดช่องโหว่โดยไม่รู้ตัว ทั้งการเข้าไปยังลิงค์แปลกๆ ที่มีคนแชร์เข้ามา การเข้าหน้าเว็บไซด์ Social Networkอย่างไม่ถูกวิธี หรือว่าการกระทำอื่นๆ ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเหล่าผู้ไม่หวังดีก็จะฉวยโอกาสเอารหัสผ่าน หรือข้อมูลความเป็นส่วนตัวใดๆ ไปใช้ในทางที่ผิดได้
อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าใจคือการแชร์บัตรประจำตัวใหม่ เช่นบัตรประชาชนและใบขับขี่ เพราะเป็นธรรมดาสำหรับคนที่ชื่นชอบ Social Networkเมื่อได้อะไรใหม่ๆ ก็ต้องถ่ายรูปโชว์เพื่อน โดยที่หารู้ไม่ว่าใบขับขี่ที่ถ่ายภาพลงมาแชร์ในเครือข่ายทางสังคมนั้นมีทั้ง ชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชนอยู่ ซึ่งมากพอในการนำไปใช้สมัครเว็บไซด์ หรือนำข้อมูลมาสวมตัวให้ผู้ไม่หวังดีได้กระทำผิดบนโลกออนไลน์ได้อย่างง่าย ได้ผ่านชื่อของคุณ!
แล้วเราจะรับมืออย่างไร?
จากตัวอย่างข้างต้นเราก็พอจะทราบถึงภัยของ Social Network ที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันกันแล้ว แต่ทว่าจะเลิกใช้ไปเลยก็ไม่ใช่ (เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!) เพราะประโยชน์ดีๆ ของ Social Networkนั้นยังมีอีกมากมาย แต่เราจะมีวิธีป้องกันภัยอันตรายของเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางนี้ได้ อย่างไรกัน
- ใช้ความระมัดระวังในการคลิกลิงค์ต่างๆ ที่มากับการแชร์ หรือข้อความ หลีกเลี่ยงลิงค์แปลกปลอม หรือมาจากบุคคลที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารดูที่แปลกไปจากปกติ เพราะอาจเป็นลิงค์ที่นำไปสู่ไวรัส หรือช่องทางขโมยข้อมูลของเหล่าแฮกเกอร์
- พิมพ์ที่อยู่ URL ของเว็บไซด์เครือข่ายทางสังคมนั้นๆ โดยตรงบนเบราว์เซอร์ หลีกเลี่ยงการเข้าเครือข่ายทางสังคมผ่านทางคลิกลิงค์จากผลแสดงการค้นหาหรือ จากอีเมล เพราะอาจเป็น URL ปลอมที่นำคุณไปยังเว็บไซด์ปลอมเพื่อหลอกเอาบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านได้ เช่น www.facebook.com อาจมี URL หลอกเป็น www.faeebook.com
- คุณจะต้องเป็นผู้คัดกรองคนที่ขอเป็นเพื่อน หลีกเลี่ยงการตอบรับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะผู้ไม่หวังดีอาจแฝงมากับคนที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อคุณ (ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือเพื่อนที่ชอบ Tag ยาลดความอ้วนหรือรายได้เสริมผ่านอินเตอร์เน็ต) ซึ่งหากพบบุคคลที่เป็นเพื่อนซึ่งเราไม่รู้จักและน่าสงสัย ก็ควรลบออกไป
- ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละรายจะมีการให้กำหนดการตั้งค่าส่วนบุคคลไว้ เพื่อไม่ให้ข้อมูล หรือการกระทำของคุณหลุดออกไปยังบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ เช่นตั้งค่าให้เพื่อนเท่านั้นที่เห็นการกระทำของคุณ และหลีกเลี่ยงการตั้งค่าการกระทำของคุณเป็นสาธารณะ
- ไม่แสดงข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ เช่นบัตรประชำตัวประชาชน หรือบัตรเครดิตลงในเครือข่ายทางสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบข้อความ หรือรูปภาพ เพราะแฮกเกอร์และผู้ไม่หวังดีสามารถแฝงตัวมากับกลุ่มเพื่อนที่คุณอนุญาตให้ เข้าชมได้
- เปิดการใช้งาน Do Not Track เพื่อป้องกันการติดตามและการเก็บข้อมูลของผู้ให้บริการ ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ไม่หวังดีลักลอบเข้ามาขโมยข้อมูลด้วย ซึ่งปัจจุบันมีเว็บเบราว์เซอร์ที่เปิดใช้งาน Do Not Track ได้แล้ว
- คุณต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการเสพย์ข้อมูลใน Social Network และอย่าปักใจเชื่อถือข้อมูลที่แชร์เข้ามาในทันที รวมทั้งการกล่าวอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ เพราะอาจมีการสวมรอย หรือสมอ้างจากผู้ไม่หวังดีเพื่อสร้างข่าว หรือดิสเครดิตแหล่งที่มานั้นๆ ก็เป็นได้
- หากคุณเป็นผู้ปกครองต้องดูแลควบคุมการใช้งาน Social Network ของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด (ไม่ใช่การปิดกั้นนะครับ) และสอนให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล และรู้จักเล่นอย่างถูกวิธี เพราะความรู้ใน Social Network ก็มีอยู่มากมาย และปัจจุบันอาจารย์ก็ทันสมัยเสียจนแจ้งเรื่องต่างๆ กับลูกศิษย์ผ่าน Facebook หรือ Twitter แล้ว
- คุณต้องใช้งาน Social Network ด้วยความตระหนักว่ามันเป็นสังคมเสรีแห่งหนึ่ง แม้ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น แต่ทุกคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเป็นเหตุในการฟ้องร้องได้ และศาลก็รับฟังคำร้องด้วย (มีตัวอย่างกรณีที่สามีฟ้องภรรยา โดยภรรยาแชร์รูปถ่ายนำแหวนไปมอบให้บุคคลที่ 3 ซึ่งศาลถือว่าเป็นสินสมรส)
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการป้องกันคุณจากภัยในโลกของ Social Network ในเบื้องต้นเท่านั้น สุดท้ายนี้ผมไม่ได้กล่าวโทษว่าเป็นความเป็นของ Social Network แต่อย่างไร แต่หากว่าคุณมี “สติ” ในการใช้งาน และเลือกใช้ประโยชน์จาก Social Network ด้วยความสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความระมัดระวังและรอบครอบ คุณก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของภัยที่มีอยู่มากมายในโลกของอินเตอร์เน็ตอย่าง แน่นอน
Credit - lenovothailand
--------------------------------------------------
สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากจะเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ปกปิดตัวตนในโลกออนไลน์ แนะนำบริการ BullVPN ของเราได้เลยครับ อีกทั้งยังทะลุบล็อกเว็บไซต์ ปรับอินเตอร์เน็ตให้เสถียร ปลดบล็อกเน็ตหอพัก มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน
สมัครทดสอบฟรีได้ที่นี่เลย www.bullvpn.com

"Internet Freedom for Everyone"